วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ สัญญาณอันตรายของโรค

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ อย่าคิดว่าแค่ปวดท้องธรรมดา

ท่านเป็นคนหนึ่งที่มีอาการเหล่านี้หรือไม่?
* ถ่ายเป็นเลือดทั้งแดงสดหรือดำ
* มีความเปลี่ยนแปลงของการขับถ่ายอุจจาระ ทั้งจำนวนครั้ง ขนาดหรือรูปร่าง
* ปวดบริเวณช่วงล่างของช่องท้องเป็นพักๆ
* รู้สึกปวดเบ่งต้องการไปถ่ายอุดจจาระบ่อยๆ ทั้งที่ไม่มีอุจจาระที่จะไปขับถ่ายจริง
* น้ำหนักลด 10% ของน้ำหนักตัว ใน 3 เดือน หรือ 5% ใน 1 เดือน
* อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร

มะเร็งลำไส้ใหญ่คืออะไร
* เนื้อร้ายที่อยู่ในลำไส้ใหญ่
* ส่วนใหญ่มะเร็งมักจะพัฒนามาจากติ่งเนื้องอกมาก่อนเป็นเวลา 5 – 10 ปี
* ขณะที่เป็นติ่งเนื้อนั้นมักไม่มีอาการ

สาเหตุของมะเร็งลำไส้ใหญ่

ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่ปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องคือ
* กรรมพันธุ์ และพฤติกรรมการดำรงชีวิต
* รับประทานอาหารไขมันสูง สัดส่วนของผักหรือผลไม้น้อย
* วิถีชีวิตลักษณะชีวิตที่นั่งทำงานเป็นส่วนใหญ่ ความอ้วน การสูบบุหรี่

ในกรณีที่สงสัยว่าจะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีวิธีการตรวจอะไรบ้าง

* การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และตัดชิ้นเนื้อ เป็นวิธีมาตรฐานในปัจจุบันที่ใช้กันทั่วโลก
* การสวนแป้งและเอ็กซเรย์

คำแนะนำในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

* ทราบประวัติครวจครัวและเครือญาติให้ชัดเจน
* พบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและส่องกล้องทางเดินอาหารเมื่ออายุมากกว่าหรือเท่ากับ 50 ปี หรือเมื่อมีอาการสงสัยทันที
* รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เพิ่มปริมาณของผักและผลไม้
* ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
* ป้องกันหรือลดความอ้วน
* งดสูบบุหรี่

สักจานมั๊ยครับ...อาหารบำรุงสมอง ลองแล้วจะติดใจ

สมอง เป็นอวัยวะที่เรียกได้ว่ามหัศจรรย์ เพราะทำหน้าที่เสมือนศูนย์ควบคุมและสั่งการการทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็นหน่วยเก็บความจำ และยังมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึกของคนเราด้วย เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เนื้อเยื่อสมองมีการเปลี่ยนแปลง อาการหลงลืม เฉื่อยชา ความรู้สึกหดหู่ เหงา เศร้า มีมากขึ้น ไอคิวและความอยากเรียนรู้ลดลง แต่คนเราไม่จำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย สมองคนเรายังสามารถพัฒนาและกระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้นราวกับเป็นสมอง ของคนรุ่นใหม่ได้อยู่เสมอ นักวิจัยพบว่าสมองจะสามารถสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ได้ไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ตาม ถ้าคนเรามีสิ่งกระตุ้นทางด้านความคิดและมีสารอาหารที่ดีมาเลี้ยงอยู่อย่าง สม่ำเสมออาหารสมองที่คนทั่วไปมักนึกถึงก็คือ ปลา ที่มีกรดไขมันโอเมกา 3 จริงอยู่ที่ปลาเป็นอาหารสมองที่สำคัญ แต่สมองก็ยังคงต้องการวิตามินแร่ธาตุอื่นๆ มาเลี้ยงด้วยเช่นกัน

1. วิตามินบีต่างๆ มีส่วนช่วยป้องกันสมองเสื่อม พบว่าวิตามินบีนั้น ช่วยการส่งต่อข้อมูลของเซลล์สมองทำให้มีสมาธิในการทำงาน ความคิดความจำเพิ่มขึ้น และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ อาหารที่ให้วิตามินบี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ธัญพืช ผักผลไม้ เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและอาหารทะเล ผู้สูงอายุอาจมีปัญหาการดูดซึมของสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินบี 12 อันเนื่องมาจากการใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหารสม่ำเสมอ ดังนั้นผู้สูงอายุอาจต้องใช้วิตามินเสริม

2. ธาตุเหล็ก ที่พบในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล เป็นแร่ธาตุที่นำพาออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ถ้าขาดจะส่งผลให้ขาดสมาธิ การเรียนรู้ลดลง อ่อนเพลีย ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดธาตุเหล็กคือ ผู้หญิงที่มีประจำเดือนหนัก หญิงก่อนวัยทอง ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติหรืออาหารเจ และผู้สูงอายุที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์หรือได้รับอาหารไม่พอ

3. ปลาทะเล ที่มีกรดไขมันโอเมกา 3 มีส่วนช่วยป้องกันสมองเสื่อม นักวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานปลาทะเลอย่างสม่ำเสมอ จะมีความคิดความจำดีกว่าผู้ที่บริโภคปลาทะเลน้อย แนะนำให้บริโภคปลาแทนเนื้อแดงบ้าง และเลี่ยงการทอดปลาเพราะจะทำให้สูญเสียโอเมกา 3


4. สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน มีส่วนช่วยปกป้องเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระที่นำไปสู่สมองเสื่อม อาจช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้พบในผัก ผลไม้และถั่วต่างๆ แนะนำให้รับประทานผักผลไม้สีเข้มๆ ต่างชนิดกันไป


5. โคลีน เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มสมอง ในอาหารธรรมชาติจะมีมากในไข่แดง ตับ ถั่วลิสง ขนมปังโฮลวีท นม มันฝรั่ง มะเขือเทศ และส้ม


นอก จากสารอาหารต่างๆ ที่สำคัญต่อสมองแล้ว การมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดียังช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองด้วย ได้แก่ การรับประทานอาหารให้เป็นเวลา การไม่งดอาหารเช้า การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การควบคุมความดันโลหิต เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และทำกิจกรรมฝึกสมอง ก็จะสามารถช่วยชะลอภาวะเสื่อมของสมองได้

ดื่มน้ำเย็นจัด ดีจริงหรือ???

แน่ นอนที่สุดครับว่า การดื่มน้ำ นอกจากจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังของร่างกายแล้ว น้ำนี่แหละที่จะช่วยคืนความสดชื่นให้กับเราได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าดื่มมากเกินไป ก็อาจเกิดผลเสียได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ชอบดื่มน้ำเย็นจัด วันนี้ Men.Mthai หยิบเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับ น้ำ มาฝากครับ


จริง อยู่ว่าการดื่มน้ำเย็นจัด จะทำให้สดชื่น แต่งานวิจัยที่อังกฤษ พบว่าการดื่มน้ำเย็นจัดมากเกินไปในยามที่ร่างกายไม่ได้เกิดความรู้สึกกระหาย น้ำ จะทำให้ขีดความสามารถในการทำงานของสมองลดลงไปทันที มีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการขับรถ หรือทำงานที่ต้องใช้สมอง หรือความคิดมาก ๆ โดยน้ำเย็นจัดเพียงแค่แก้วเดียวก็มากพอที่จะทำให้สมรรถภาพทางจิตใจของบางคน ลดลงไปถึง 15% อีกด้วยนะครับ


เคล็ดไม่ลับ ในการดื่มน้ำเพื่อสร้างความสดชื่นและสุขภาพดี
1. น้ำดื่มที่ดีต่อสุขภาพควรเป็นน้ำธรรมดาที่มีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิห้อง ณ ขณะนั้น
2. สำหรับแก้วแรกและแก้วสุดท้ายของแต่ละวันให้ลองดื่มน้ำอุ่น เพราะถ้าเป็นตอนเช้าจะช่วยชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้การขับถ่ายดีขึ้น สำหรับก่อนนอนน้ำอุ่นก็จะช่วยให้หลับสบายดีขึ้น
3. อย่าดื่มน้ำมากเกินไปในช่วงที่รับประทานอาหาร เพราะน้ำจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ทำให้ระบบการย่อยทำงานได้ไม่ดี

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเลี้ยง

จำนวน ผู้ป่วยโรคหัวใจในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งทำให้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนไทยเป็นอย่างมาก โรคหัวใจชนิดหนึ่งที่คนไทยเป็นกันมากขึ้น คือ โรคหลอดเลือดโคโรนารี่ตีบตัน หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ผู้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้อาจมีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น เหนื่อยง่ายเมื่อออกกำลังกาย บางครั้งเป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย ด้วยเครื่องมือวินิจฉัยโรคไวใจโดยเฉพาะ เช่น เครื่องทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย (Exercise Stress Test-EST) การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echo) เครื่องบันทึกคลื่นหัวใจที่พกติดตัวได้ (Holter onitoring) หรือการตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ ฯลฯ

สาเหตุและอาการ เกิดจากการตีบแคบ หรืออุดตันในหลอดเลือดโคโรนารี่ที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจขาดเลือด จึงเกิดอาการต่าง ๆ เช่น จุกแน่น เสียดแสบบริเวณทรวงอก อาจแผ่กระจายไปที่แขน ลำคอ ขากรรไกร กราม หากเป็นมากจะอ่อนเพลีย เหงื่อออก เป็นลม จนถึงเสียชีวิตแบบเฉียบพลัน ถ้าท่านเจ็บหน้าอก และมีอาการร่วมอื่น ๆ ดังกล่าวข้างต้น และหรือเจ็บนานเกิน 15-20 นาที ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยเร่งด่วน เพื่อรับการรักษาได้ทันท่วงที

ปัจจัยเสี่ยง โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเลี้ยง มักเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เช่น

  • โรคความดันโลหิตสูง
  • ไขมันในเลือดสูง
  • การสูบบุหรี่
  • โรคเบาหวาน
  • ความอ้วน
  • ความเครียด
  • การไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือวัยหลังหมดประจำเดือน
  • ผู้มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

การรักษา หลังได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ การรักษานอกจากการให้ยารับประทานแล้ว แพทย์จะแนะนำวิธีการปฏิบัติตัว และนัดให้มาตรวจในระยะเวลาที่เหมาะสม และให้คำแนะนำในการปฏิบัติตน เพื่อการรักษาสุขภาพ และเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจ ได้แก่

  • งดสูบบุหรี่
  • งดรับประทานอาหารที่มีไขมัน
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ลดความเครียด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ควบคุมน้ำหนักตัว ความดันโลหิต และระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • รับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างต่อเนื่อง
ใน การพบแพทย์แต่ละครั้ง แพทย์อาจจะให้คำแนะนำในการเพิ่ม หรือลดขนาดยาตามความเหมาะสม หากรับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้น หรืออาการของโรคทรุดลง แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดสารทึบรังสีหลอดเลือดหัวใจ เพื่อตรวจสอบหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เช่น การขยายหลอดเลือดที่ตีบตันด้วยบัลลูน และขดลวดหรือการผ่าตัด หากแพทย์พบข้อจำกัดในการขยายหลอดเลือดที่ตีบตันด้วยบัลลูนและขดลวด แพทย์จะแนะนำให้ทำการรักษาโดยการผ่าตัด เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจมากขึ้น

การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
ทำได้ 2 วิธี ได้แก่

1.ผ่าตัดโดยใช้เครื่องปอด และหัวใจเทียม (ON-PUMP CABG)
2.ผ่าตัดโดยไม่ใช้เครื่องปอด และหัวใจเทียม (OFF-PUMP CABG) ซึ่งประหยัดกว่า และเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า

โรค หัวใจขาดเลือดไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาเพื่อให้มีชีวิตเช่นคนปกติได้ ถ้ายอมหยุดปัจจัยเสี่ยง และปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ

อ่านซะ ถ้าหากคุณกำลัง "เครียด"

ชื่อเหลือเกินครับว่า ไม่มีใคร ไม่เคยพบพานกับ "ความเครียด" แต่จะเครียดมาก เครียดน้อยก็อีกเรื่องนึงนะครับ ไม่ว่าคุณจะเครียดจากที่ออฟฟิศ เครียดจากการที่จะต้องมาผจญกับสภาวะการจราจรติดขัด หรือด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม แถมช่วงนี้อากาศก็ร้อน อีกต่างหาก ยิ่งเหตุบ้านการเมืองในช่วงนี้ยังเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ทำให้คุณเกิดอาการ เครียดได้อย่างง่ายๆ งานนี้สงสัยความเครียดพุ่งกระฉูดขึ้นไปใหญ่ รับรองได้ครับว่าสุขภาพเสียหมดแน่ แบบไม่ต้องรอให้ใครมาคอนเฟิร์ม วันนี้ Men.Mthai มีวิธีรับมือกับความเครียด ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังผจญอยู่กับเรื่องเครียดทุกๆ วัน ลองเอาวิธีข้างล่างนี้ไปใช้ดูสิ เผื่อจะช่วยลดดีกรีเครียดลงได้บ้าง

1. เข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา ส่วนมากคนที่เครียดมักจะมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ ลองปรับระยะเวลาการนอนให้เหมาะสม อย่างเข้านอนช่วงสี่ทุ่มและพยายามตื่นแต่เช้า เพื่อให้ร่างกายได้รับอากาศบริสุทธิ์ก็จะช่วยทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้น หายเครียดได้
2. แบ่งเวลางานให้เหมาะสม วันๆ หนึ่งคุณไม่ควรลุยงานโดยไม่มีการพักตลอด 8 ชั่วโมง ควรหาเวลาพักกล้ามเนื้อยืดเส้นยืดสายบ้าง หรือถ้าลาพักร้อนสัก 2-3 วันได้ยิ่งดี
3. ควรหางานอดิเรกทำ อย่าง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายได้เกิดความผ่อนคลาย
4. กินผักให้มากๆ เพราะจะทำให้สมองสร้าง Serotonin ซึ่งสารตัวนี้จะมีบทบาทช่วยลดความเครียดได้
5. ถ้าถึงขั้นเป็นโรคเครียดจะมีการรักษาแบบจิตบำบัด โดยจะเน้นการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวและปรับปรุงบุคลิกภาพให้มีความยืดหยุ่นได้ ดีขึ้น

ลอง เอาวิธีเหล่านี้ไปใช้ดูนะครับ เผื่อว่า หน้าร้อนนี้ ความเครียดในคุณจะพอเบาบางลงไปบ้าง ไม่มากก็น้อย แล้วจะเครียดไปทำไมกันล่ะครับ...พี่น้องครับ เสียสุขภาพหมด

4 อาหารที่ทำให้คุณ อึด ได้อย่างน่าทึ่ง!

สารเคอร์เซทิน (quercetin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ทีทำให้"อึด"พบในอาหารธรรมชาติ 4 อย่างได้แก่ แอปเปิ้ล ฯลฯ



การ ศึกษาเร็วๆ นี้พบว่า สารเคอร์เซทิน (quercetin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ที่พบในอาหารธรรมชาติ 4 อย่างได้แก่ หัวหอม ชา บรอคโคลี และแอปเปิล ทำให้ "อึด (ออกแรงได้นานขึ้น)"

การ ศึกษาทำในกลุ่มตัวอย่างนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีสุขภาพดี ให้ปั่นจักรยานออกกำลัง พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับสารเคอร์เซทิน 500 มิลลิกรัมต่อวัน วันละ 2 ครั้ง อึดขึ้น หรือออกกำลังได้นานขึ้น 14%

ข้อ ดีของการกินเคอร์เซทินไม่ได้มีแต่ทำให้อึด หรือแรงดีขึ้นเท่านั้น ทว่า... การศึกษาที่ผ่านมายังพบว่า อาจช่วยป้องกันโรคหอบหืด ภูมิแพ้ มะเร็ง และโรคหัวใจได้ด้วย

กลไกที่เป็นไปได้อย่างหนึ่ง คือ เคอร์เซทินออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายสร้างโรงไฟฟ้าขนาดจิ๋วในเซลล์ หรือโรงสร้างพลังงานที่มีชื่อว่า "ไมโตคอนเดรีย (mitochondria)" ได้มากขึ้น และดีขึ้น

การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขึ้นกับปริมาณและขนาดของไมโตคอนเดรีย คือ กล้ามเนื้อใครมีเจ้าไมโตฯ มาก หรือมีเจ้าไมโตฯ ใหญ่หน่อย จะมีแรงดีและอึดขึ้น

ช่วงนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรแนะนำให้กินหอม แดง ซึ่งอาจช่วยป้องกันเจ้าหวัด 2009 ได้ด้วย... แบบนี้เห็นทีจะต้องจิบชากันไป หอมกันไป(หัวหอม)บ้างละ

ปวดหัว โรคปวดหัว ไมเกรน

ปวดศีรษะ (Headaches)

ปัญหา ทางระบบประสาทอย่างหนึ่ง ที่สร้างความทรมานอย่างยิ่งให้กับผู้ที่ต้องเผชิญคือ อาการปวดหัว โดยมากมักเป็นๆ หายๆ บ้างก็ทราบสาเหตุ บ้างก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่เมื่อเป็นแล้วนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกายแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตในด้านอื่นๆ อีกด้วย

ปวดศีรษะ (Headaches)
ปัญหาของอาการปวดศีรษะมักเกิดจากสาเหตุต่างๆ ทั้งจากโรคของสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง โรคหลอดเลือดสมอง การอักเสบของเส้นประสาท และปัญหาที่มาจากปัจจัยภายนอก เช่น ความดันโลหิตสูง รับประทานยาบางชนิด เป็นไข้ กระดูกคอเสื่อม ความเครียด ไมเกรน สาเหตุต่างๆ เหล่านี้ อาจแยกจากกันไม่ได้ชัดเจน ต้องอาศัยการตรวจพิเศษและดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจรักษา เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

อาการสำคัญที่ควรพบแพทย์ด่วน
1.อาการปวดศีรษะเฉียบพลัน หรือปวดศีรษะอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
2.มีอาการอาเจียน เป็นไข้ คอแข็ง แขนขาชาและอ่อนแรง ตามองไม่เห็น เป็นอาการร่วมกับการปวดศีรษะ หรือเป็นอาการนำ
3.เสียการทรงตัว หมดสติ สับสนจำอะไรไม่ได้
4.ผู้ป่วยที่กินยาแก้ปวดเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน แต่อาการไม่ทุเลาหรือมีอาการมากขึ้น

ปวดศีรษะไมเกรน
ไมเกรนและความเครียด เป็นสาเหตุของการปวดศีรษะ 85-90% ของประชากรทั่วไป ปวดศีรษะไมเกรนมีอาการดังต่อไปนี้
- ปวดเป็นพักๆ จะเป็นๆ หายๆ ข้างใดข้างหนึ่ง ปวดตุบๆ เหมือนชีพจรกำลังเต้น บางรายปวดมากจนทำงานไม่ได้
- อาการปวดมักปวดบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา ขมับและขากรรไกร
- อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
- เห็นแสงสว่าง แสงสี ตาพร่ามัว ก่อนหรือระหว่างการปวดศีรษะ
- ระยะเวลาในการปวดนานประมาณ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งมักพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

อาการ ปวดศีรษะมักจะเริ่มช่วงวัยรุ่นเมื่ออายุมากขึ้น บางครั้งผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนอาจจะมีอาการนำ aura เช่นเห็นแสงแลบ ตามองไม่เห็น ชาซีกใดซีกหนึ่งเรียกว่า “Classic Migrain” แต่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการนำเรียกว่า “Common Migrain” ถึงแม้ว่าไมเกรนเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่หากเข้าใจโรคและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ก็สามารถทำให้ควบคุมโรคได้

สาเหตุของการปวดศีรษะไมเกรน

ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากการหลั่งสารเคมีรอบๆ เส้นเลือดสมอง ทำให้มีการปวดเกิดขึ้น

ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน
1.การนอนหลับมาก หรือน้อยเกินไป หรือนอนไม่เป็นเวลา
2.รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา หรืออดอาหารนานๆ น้ำตาลในเลือดต่ำ
3.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และอาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรสและสารกันบูด เนยแข็ง ช็อกโกแลต
4.สิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง อากาศร้อน รวมทั้งกลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นน้ำหอม กลิ่นเหม็น ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย
5.การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ
6.ฮอร์โมนเพศสูง ช่วงมีประจำเดือน และการตั้งครรภ์ในช่วงเดือนแรกๆ

ความดันโลหิตสูง เพชฌฆาตเงียบ!

นพ.ธวัชชัย ภาสุรกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวาน ไทยรอยด์และต่อมไร้ท่อ ให้ข้อมูลว่า ความดันโลหิตสูง พบมากในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ มาจากกรรมพันธุ์ ภาวะอ้วน การรับประทานอาหารรสเค็ม และอายุที่มากขึ้น

โดยมีวิธีป้องกันการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้ โดยการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และมีการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ สำหรับการรักษาผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจะมี 2 ทางเลือก คือ การใช้ยา และไม่ใช้ยาในผู้ป่วย ซึ่งในรายที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็น แพทย์จะสามารถรักษาได้โดยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน แต่สำหรับผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนร่วมด้วย แพทย์จะต้องให้ยาและพยายามควบคุมระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ

ด้าน ชินการ สมะลาภา บอสใหญ่ สมาพันธ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า โครงการ เช็กไลฟ์ วิธ ไมโครไลฟ์ นอกจากให้บริการตรวจวัดความดันฟรีแล้วยังแนะนำวิธีง่ายๆ ในการตรวจเช็กสุขภาพด้วยการวัดความดันด้วยตัวเองที่บ้าน เป็นการกระตุ้นให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพของตนให้ห่างไกลจากโรคที่มาพร้อมกับ ภาวะความดันโลหิตสูง โครงการ เช็กไลฟ์ วิธ ไมโครไลฟ์ จะมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2552 ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้ารับบริการฟรีได้ที่จุดบริการของร้านขายยาชั้นนำ 300 แห่งทั่วประเทศ ที่มีสัญลักษณ์โครงการ “CHECK LIFE with microlife” สอบถามเพิ่มเติม โทร.0-2948-4888 หรือ www.samaphan.com

โรคอ้วนลงพุง

อ้วนลงพุง ไม่ใช่แค่ความอ้วนธรรมดา แต่เป็นภาวะอ้วนที่มีไขมันสะสมบริเวณช่วงเอวหรือช่องท้องปริมาณมากๆ และก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหลายระบบ ในทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า Metabolic syndrome ถือเป็นกลุ่มความผิดปกติที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วย ดังนั้นภาวะอ้วนลงพุงจึงนับว่าเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย ได้

ไขมันที่พุงอันตรายกว่าไขมันส่วนอื่นของร่างกายอย่างนั้นหรือ?

โดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นไขมันตรงส่วนใด หากมีมากเกินไปก็ถือว่าไม่ดีทั้งนั้น แต่ไขมันที่สะสมในช่องท้องหรือบริเวณพุงจะสลายตัวเป็นกรดไขมันอิสระ ส่งผลให้ในกระแสเลือดมีกรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเสียต่อระบบต่างๆ ภายในร่างกาย โดยกรดไขมันชนิดนี้จะไปยับยั้งกระบวนการเผาผลาญของกลูโคสที่กล้ามเนื้อ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความดันโลหิตสูง และอาจส่งผลให้หลอดเลือดแดงแข็งตีบและอุดตันได้

พบว่าในคนอ้วนลงพุงจะมีระดับฮอร์โมน Adiponectin ในกระแสเลือดลดลง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่พบในเซลล์ไขมันเท่านั้น ระดับ Adiponectin ในเลือดที่ต่ำจะสัมพันธ์กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน และเป็นตัวทำนายการเกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย

นอกจากนี้ เชื่อว่าความอ้วนและภาวะดื้อต่ออินซูลิน ยังเป็นสาเหตุสำคัญของการสะสมไขมันในเนื้อตับ เพราะกรดไขมันอิสระที่ออกมาจากไขมันบริเวณพุงจะเข้าสู่ตับโดยตรงได้มากกว่า ไขมันบริเวณสะโพก ซึ่งกรดไขมันที่สะสมภายในตับหากเกิดในช่วงที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากจนเกิน ที่สารต้านอนุมูลอิสระสามารถรับมือไหว จะส่งผลให้เกิดการอักเสบของตับตามมาอีกด้วย ดังนั้นคนที่อ้วนลงพุงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคตับมากกว่าคนที่มีไขมันสะสมที่สะโพก

ยาที่ใช้รักษาโรคปวดหลังควรเลือกใช้อย่างถูกต้องด้วยยาแบบใดเป็นขั้นแรก?

ยาที่ใช้รักษาโรคปวดหลังควรเลือกใช้อย่างถูกต้องด้วยยาแบบใดเป็นขั้นแรก?
เนื่อง จากในเมืองไทย ผู้ป่วยสามารถหาซื้อยาที่ใช้รักษาโรคปวดหลัง ได้จากร้านขายยาทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ ดังนั้นท่านจึงสามารถซื้อยาได้เองเมื่อมีอาการปวดหลัง อย่างไรก็ตามขอแนะนำให้ท่านใช้ยาดังต่อไปนี้

1.เริ่มต้นเมื่อมีอาการปวดมากด้วยการทานยา Acetamenophen (พาราเซต) ให้หายปวดก่อน
2. ถ้ายังมีอาการปวดอีกให้รับประทานยากลุ่มที่มีชื่อเป็นทางการว่าเอ็นเซต NSAID (Non-Steroidal anti-inflamatory Drugs) ซึ่งอาจทานร่วมกับยาที่มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ (Muscle relaxant) ซี่งมีอยู่หลายยี่ห้อในท้องตลาด ประการที่สำคัญสำหรับคนที่ซื้อยารับประทานเอง คือ ไม่ควรรับประทานยาในกลุ่มสเตียรอยด์ซึ่งนิยมถูกจ่ายจากผู้ขายยาที่ไม่ได้ มาตราฐาน หรือถูกผสมในยาแผนโบราณ ซึ่งยากลุ่มนี้ก่อให้เกิดปัญหากระดูกพรุน ไตวาย หลอดเลือดแตกเปราะและอื่นๆ ได้การรับประทานยาทั้งหมดนี้ควรทานประมาณห้าถึงเจ็ดวัน หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นเพิ่มเช่นปวดร้าวตามขา ควรไปพบแพทย์ครับ

อาการ ปวดหลัง

มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีกระดูกสันหลังที่ตั้งฉากกับพื้นของโลกใน ขณะยืนหรือเดิน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของคนกล้ามเนื้อที่ประคองกระดูกสันหลังจะต้องทำงาน เพื่อประคองกระดูกสันหลังทั้งวันทำให้มีอาการเครียดตึงและปวดตามมา

ปวดหลัง

คนเราต้องมีอาการ ปวดหลังบ้างเป็นบางครั้ง เราควรทำอย่างไรเมื่อมีอาการปวดหลัง?
ถ้า มีอาการปวดหลังเกิดขึ้นในวันแรก ส่ิงแรกที่ควรทำคือ ต้องไม่วิตกกังวลมากเกินไป เพราะเราทราบว่าโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่รู้สึกอยู่ ถ้าเราวิตกกังวลมากเกินไปแล้วจะยิ่งทำให้การรักษาอาจจะยิ่งยุ่งยากมากขึ้น และอาการจะเรื้อรังรุนแรงมากขึ้นควรทำจิตใจให้ผ่องใส ปลอดโปร่งอยู่เสมอ

สัญญานเตือนภัย ไข้หวัด 2009

สัญญานเตือนภัย ไข้หวัด 2009 ที่จะบ่งบอกถึงการต้องเข้า รับการรักษา อย่างเร่งด่วนที่ต้องสังเกตมีดังนี้ ในเด็ก หากเด็กมีอาการหายใจเร็ว หรือหายใจลำบาก ผิวหนังเป็นจ้ำสีน้ำเงิน ดื่มน้ำน้อยไม่เพียงพอ ปลุกไม่ตื่น หรือไม่มีอาการตอบสนอง มีอาการงอแงไม่ยอมให้อุ้ม มีไข้เฉียบพลัน หรือมีอาหารหวัด ไออย่างรุนแรง หากมีอาการเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ต้องรีบเข้ารับการรักษาทันที ในผู้ใหญ่ สัญญานเตือนภัยที่จะต้องรีบรักษาเช่นกันคือ อาการหายใจลำบาก หรือหายใจถี่ เจ็บ แน่นหน้าอกหรือช่องท้อง วิงเวียน หน้ามืด และอาเจียนอย่างรุนแรง หรืออาเจียนเป็นเลือด หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบรักษาอย่างเร่งด่วน

มารู้จัก วัคซีน "ไข้หวัด2009" กันเถอะ

วัคซีน ป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่หลายประเทศกำลังเร่งผลิตและทดลองกันอยู่ในขณะนี้ กลายเป็นความหวังของคนทั่วโลก ในยามที่โรคอุบัติใหม่ดังกล่าวกำลังระบาดอยู่ในตอนนี้ ขณะที่นักวิจัยของไทยเองได้มีการสร้างเชื้อไวรัสสำหรับผลิตวัคซีนเองเหมือน กัน ทั้งวัคซีนชนิด เชื้อเป็นและ เชื้อตาย แต่วัคซีนชนิดไหนดี เด่น หรือด้อย อย่างไร คงต้องลองเปรียบเทียบดูหลายๆ ปัจจัย อาทิเช่น
ผลิตจากอะไร?

วัคซีนเชื้อเป็น :
ผลิต มาจากเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ เอช1 เอ็น1 ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นชนิดที่อ่อนแรงไม่ก่อให้เกิดโรค นำมาเลี้ยงเพิ่มจำนวนแล้วนำไปใช้เป็นวัคซีนได้เลย

วัคซีนเชื้อตาย :
เป็น การ นำเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอช1 เอ็น1 2009 มาพัฒนาด้วยเทคนิคทางพันธุกรรม สร้างไวรัสตัวใหม่ที่ไม่ก่อโรคขึ้นมา นำไปเลี้ยงเพิ่มจำนวนแล้วทำให้ตาย เหลือแต่ส่วนผิวซึ่งมีลักษณะจำเพาะของไวรัสที่ใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ แล้วจึงนำไปทำเป็นวัคซีนต่อไป

1+1 ใน 5 = สัญญาณอันตราย

วิธีง่ายๆ ที่ใช้สังเกตอาการไข้หวัด 2009

ลดความกังวลใจ ลดความเสี่ยงในการไปโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น

ถ้ามีไข้สูง 38 องศาเซลเซียส ร่วมกับ ไอ เจ็บคอ ให้ดูว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นหนักหรือเปล่า ถ้าใช่ต้องไปหาหมอทันที

ถ้าไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ข้อมูลกลุ่มเสี่ยงอยู่ในหมวดการรักษา) ในเบื้องต้นให้กินยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้

ถ้า กินยาพาราเซตามอลแล้ว อาการขั้นแรกยังมีอยู่ นั่นคือ ไข้สูง ไอ เจ็บคอ แล้วก็มีอาการเพิ่มเติมเพียงแค่ 1 ใน 5 สัญญาณอันตราย ก็ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน นั่นคือ

1. ปวดหัวมากแม้กินยาพาราเซตามอลก็ยังไม่ดีขึ้นนัก
2. เบื่ออาหารอย่างมาก ไม่อยากกินอะไรเลย น้ำก็ไม่อยากดื่ม
3. เหนื่อย อ่อนเพลียและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก
4. ไอแล้วเหนื่อย หรือไอแล้วเจ็บเฉพาะที่ ไอแล้วเจ็บหน้าอก
5. มีอาการท้องเสียหรืออาเจียน

เรียก ว่าถ้ามี 1 อาการหลัก(ไข้ ไอ เจ็บคอ) ร่วมกับอาการที่เป็นสัญญาณอันตราย อย่างน้อย 1 ใน 5 ดังกล่าวก็ต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน จำไว้ว่า 1+1 ใน 5 = สัญญาณอันตราย

อาการไข้หวัด 2009

อาการไข้หวัด 2009 ในคนนั้นมีอาการ คล้ายกันกับอาการของคนที่เป็นหวัดปกติ และมีอาการต่อไปนี้คือ มีไข้ ท้องเสีย เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศรีษะ หนาว และ ไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนล้า ร่วมด้วย ในบางคนมีอาการท้องเสียร่วมกับอาเจียน และในอดีตมีรายงานว่าผู้ป่วยหลายคนมีอาการรุนแรงถึงขั้นเป็นปอดบวม และ ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด เช่นเดียวกันกับหวัด ที่ไข้หวัด 2009อาจจะแย่ลงจนต้องมีสภาพการเรื้อรังผู้ ที่ติดเชื้อไข้หวัด 2009 ควรได้รับการพิจารณาถึงศักยภาพในการติดเชื้อ ไข้หวัด 2009 ระยะเวลาความยาวนานของการฟักเชื้อจนมีอาการ และความเป็นไปได้ของอาการป่วยที่ยาวนานถึง 7 วัน เด็กๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กอาจได้รับเชื้อเป็นเวลานาน